ระหว่างข่าวคราวเรื่องการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังไม่ได้ออกอาการเหี่ยวปลายลงไปเลยแม้แต่น้อย กับข่าวคราวเรื่องการชิงแชมป์ ชิงชัย ชิงความเป็นหนึ่งในมหกรรมฟุตบอลยูโร-2020 ที่นับวันชักจะมันส์ส์ส์ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนแทบไม่อาจสรุปได้เลยว่า ข่าวไหนจะ “ช่วงชิงพื้นที่ข่าว” มาก-น้อยไปกว่ากัน ดังนั้น...เปิดฉากสัปดาห์นี้ คงต้องขออนุญาตนำเอาข่าวคราวทั้ง 2 ที่แม้จะเป็น “คนละเรื่อง” มายำ มาปรุงแต่ง ให้กลายเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” เอาไว้ ณ ที่นี้...
คืออันที่จริง...แม้ว่ามันจะเป็น “คนละเรื่อง” แต่คงต้องยอมรับว่า มันออกจะมีความเกี่ยวพัน พัวพัน อย่างมิอาจแยกออกจากกันได้เลยนั่นแหละทั่น!!! คือเนื่องจาก “ยุโรป” ที่เคยเป็น “ศูนย์กลาง” การแพร่เชื้อโควิด-19 ในระดับโลก มาก่อนหน้านี้เขามีกำหนดการที่จะต้องจัดแข่งขันฟุตบอล “ยูโร-2020” ที่เลื่อนจากปีที่แล้ว มาเป็นปีนี้ อย่างมิอาจปฏิเสธได้ การเก็บกักวัคซีนเอาไว้ฉีดในหมู่คนรวยๆ ประเทศรวยๆ โดยแทบไม่เหลือเอามาบริจาคให้กับประเทศจนๆ มั่งเลย ไม่ว่าจะดูโหดร้าย ดูไร้น้ำใจ ไมตรีมาก-น้อยขนาดไหน แต่ก็พอทำให้บรรดาชาวยุโรปเขาเกิดความมั่นอก-มั่นใจ ต่อการจัดแข่งขันมหกรรมฟุตบอลยูโร-2020 ชนิดสามารถเปิดโอกาสให้บรรดาแฟนบอล คอบอล เข้าไปแหกปาก พ่นละอองเรณูเกสร เชียร์ทีมที่รัก ที่ลุ้น ภายในสนามกีฬาฯแห่งต่างๆ โดยแทบไม่ต้อง “เว้นระยะห่าง” กันเอาเลยแม้แต่น้อย ส่งผลให้บรรดาคอบอล แฟนบอลในบ้านเรา ที่ดูถ่ายทอดสดอยู่ทางบ้าน พลอย “มันส์ส์ส์” กะเขาไปด้วย...
แต่ก็นั่นแหละ...ท่านเชื้อโควิด-19 ที่ท่านยังไม่หาย “มันส์ส์ส์” ท่านก็เลยตามไปมันส์ส์ส์ภายในสนามต่างๆ จนกลายเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” ไปจนได้ หรือจนกระทั่งส่งผลให้หัวหน้าสำนักงาน “WHO” ประจำภาคพื้นยุโรป อย่าง “ดร.ฮานส์ คลุกก์” (Hans Kluge) อดไม่ได้ที่จะต้องออกมาร้องเตือน ว่ามหกรรมยูโร-2020 คราวนี้ อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ “ซูเปอร์สเปรดเดอร์” หรือกลายเป็นตัวแพร่กระจายเชื้อโควิดไปยังแฟนบอลประเทศต่างๆ อันเนื่องมาจากบรรดา “ผู้ติดเชื้อ” ภายในภูมิภาคแห่งนี้ เพิ่มขึ้นไปถึง 10 เปอร์เซ็นต์ ภายในช่วงมหกรรมการแข่งขันเท่าที่ผ่านมา ด้วยเหตุเพราะการไปมา-หาสู่ การเดินทางที่เพิ่มขึ้น การพบปะรวมตัวระหว่างกันและกันเพิ่มขึ้น ไปจนถึงการ “ผ่อนคลาย” มาตรการคุมเข้มในลักษณะต่างๆ ของแต่ละประเทศ แต่ละสนาม...
ซึ่งการตั้งข้อสังเกตของ “ดร.ฮานส์” ในลักษณะที่ว่านี้ ก็ไม่ได้ถึงกับมองโลกในแง่ร้ายจนเกินไป เพราะบรรดาจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นๆ ในยุโรปช่วงนี้ ส่วนใหญ่...ก็มาจากบรรดา “แฟนบอล” หรือ “คอบอล” ทั้งหลายนั่นแหละทั่น!!! เฉพาะแฟนบอลประเทศฟินแลนด์ ที่แม้จะมีการ “ฉีดวัคซีน” ภายในประเทศไปแล้วถึง 60 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากร แต่สำหรับบรรดาผู้ที่แห่เข้าไปเชียร์ทีมชาติของตัวเองที่สนาม “เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก” ในประเทศรัสเซีย เมื่อไม่กี่วันมานี้ กลับตรวจพบการติดเชื้อไม่ต่ำกว่า 300 คนเป็นอย่างน้อย แถมยังเป็นเชื้อ “เดลต้า” ที่ติดง่าย ติดเร็ว และติดแรงซะอีกต่างหาก เช่นเดียวกับแฟนบอลสกอตแลนด์ ที่ได้ตั๋วให้เข้าไปชมการฟาดแข้งระหว่างทีมชาติตัวเองกับทีมอังกฤษ เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.ที่ผ่านมา เพียงแค่ 2,600 ที่นั่งเท่านั้นเอง แต่เมื่อกลับไปยังถิ่นฐานบ้านเกิด ปรากฏว่าตรวจพบการติดเชื้อในหมู่แฟนบอลจำนวนถึง 397 คนด้วยกัน...
ส่วนเจ้าภาพสนามเวมบลีย์ อย่างอังกฤษก็แทบไม่ต้องพูดถึง...แม้ว่าจะไล่ฉีด ไล่จิ้มวัคซีนให้กับพลเมืองภายในประเทศตัวเองไปแล้วถึง 85 เปอร์เซ็นต์ สำหรับเข็มแรก และ 63 เปอร์เซ็นต์ สำหรับเข็มสอง ชนิดผู้นำประเทศอย่างนายกรัฐมนตรีหัวกระเซิง “นายบอริส จอห์นสัน” ออกมาป่าวประกาศด้วยความลิงโลด ลำพอง ช่วงเดินทางไปเยือนโรงงานรถยนต์นิสสันที่เมืองซันเดอร์แลนด์เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี่เอง ว่าสำหรับชาวอังกฤษผู้ได้รับวัคซีนเข็มสองไปเรียบร้อยแล้ว ถือเป็นผู้ได้รับการปลดปล่อยให้มีเสรีภาพที่จะไปไหน-มาไหนก็ย่อมได้ โดยเฉพาะการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงฤดูร้อนที่กำลังมาถึง แต่ยังไม่ทันได้จงจรเที่ยว-เทียวบทไป-พงพนไพร-ไศละลำเนา ณ ที่ไหนๆ ไกลๆ เอาเลยแม้แต่น้อย แค่เพียงไปสุมหัว รวมตัวกันในสนามกีฬาต่างๆ ก็ส่งผลให้จำนวนการแพร่เชื้อ ติดเชื้อ ในประเทศอังกฤษ หวนกลับมาสู่ความระเบิดเถิดเทิง หรือเพิ่มขึ้นกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ นับจากช่วงต้นปีเป็นต้นมา...
หรือถ้าว่ากันตามข้อมูล สถิติ ของสำนักงานสถิติรัฐบาล (Office for National Statistics-ONS) เมื่อช่วงศุกร์ (2 มิ.ย.) ที่ผ่านมา จำนวน “ผู้ติดเชื้อ” ในอังกฤษที่เคยลดๆ ลงเหลือแค่ประมาณ 1 คนต่อ 440 คนเมื่อช่วงสัปดาห์ที่แล้ว กลับพุ่งพรวดๆ พราดๆ กลายเป็น 1 คนต่อ 260 คนเมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ขณะสกอตแลนด์เพิ่มขึ้นเป็น 1 คนต่อ 150 คน และเวลส์ เพิ่มขึ้นเป็น 1 คนต่อ 450 คน โดยจำนวน 46 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนผู้ติดเชื้อเหล่านี้ เป็นสายพันธุ์ “เดลต้า” ไปด้วยกันทั้งสิ้น หรือจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นไปถึง 16,000 รายต่อวัน ยิ่งทะลุไปถึง 28,000 รายต่อวัน เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ ( 1 ก.ค.) ที่ผ่านมา ส่งผลให้นายกฯหัวกระเซิงหนีไม่พ้นต้อง “พลิกลิ้น” จากที่เคยคิดจะ “เลิกล็อกดาวน์” ในอีกไม่นาน-ไม่ช้า หันกลับมาให้ความสำคัญกับ “การระมัดระวังอย่างเป็นพิเศษ” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...
ส่วนรัสเซีย...ที่แม้จะ “ตกรอบแรก” บอลยูโรไปนานแล้ว แต่ด้วยเหตุที่ยังคงพร้อมจะเป็นเจ้าภาพ จึงส่งผลให้การแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 ภายในประเทศ ระเบิดเถิดเทิงไม่น้อยไปกว่ากัน โดยเฉพาะจำนวน “คนตาย” ที่ทุบสถิติสูงสุดมากถึง 672 ราย ภายใน 24 ชั่วโมง เฉพาะที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งเป็นสนามโม่แข้ง ตายรวดเดียว วันเดียวถึง 115 ราย อันเนื่อมาจากอุปกรณ์ เครื่องมือ ที่พอจะช่วยไม่ให้ตาย หรือตายช้าลงไปมั่ง คือ “เครื่องช่วยหายใจ” มันมีไม่พอที่จะรองรับอาการป่วย ซึ่งแพร่กระจายรวดเร็วเอามากๆ หรือถ้าว่ากันตามคำให้สัมภาษณ์ของ “นายDenis Protsenko” หัวหน้าสถานบำบัดผู้ป่วยฉุกเฉินจากการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส สรุปว่า...ความขาดแคลนเครื่องช่วยหายใจในรัสเซียช่วงนี้ เพิ่มขึ้นถึง 1 เท่าตัว จนกลายเป็น “ปัญหา” แบบ “เตียงพยาบาล” บ้านเราอะไรทำนองนั้น...
สรุปง่ายๆ ว่า...ไม่ว่าจะเป็นฟินแลนด์ สกอตแลนด์ รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส ไปจนถึงโปรตุเกส ฯลฯ โน่นเลย ต่างต้องเจอกับการหวนกลับในการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 ไปพร้อมๆ กับ “ความมันส์ส์ส์” ในการเชียร์ทีมชาติตัวเอง อย่างชนิดมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ โปรตุเกสนั้น...แม้จะถูกเบลเยียมเขี่ยตกรอบไปแล้ว แต่ก็ยังต้องเตรียมที่จะ “ล็อกดาวน์” ประกาศเคอร์ฟิวในเมืองแต่ละเมือง ไม่น้อยไปกว่า 24 เมืองนับจากนี้ ส่วนฝรั่งเศส...แม้จะถูกนายห้างนาฬิกาสวิส เฉือนเอาชนะในช่วงยิงจุดโทษ อย่างน่าเสียดายเป็นอันมาก แต่ก็คงไม่เหลือเวลาที่จะไปตัดพ้อ ต่อว่า ใครต่อใครได้อีก เพราะต้องหันมาให้ความสำคัญกับ “การระบาดระลอก 4” ที่ว่ากันว่า...กำลังจะมาถึงในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้ ถึงขั้นที่กำลังเตรียมออกคำสั่ง ให้บรรดาชาวฝรั่งเศสตั้งแต่อายุ 24-59 ปี ต้องเร่งฉีดวัคซีนให้ครบถ้วน 100 เปอร์เซ็นต์ให้จงได้ เพราะตามสถิติจำนวนผู้ติดเชื้อในฝรั่งเศสถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ต่างอยู่ในวัยดังกล่าวไปด้วยกันทั้งสิ้น...
แน่ล่ะว่า...ภายใต้ “ความมันส์ส์ส์” ที่ต้องผสมผสานไปกับ “การติดเชื้อ” จนกลายเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน ย่อมส่งผลไปถึงผู้ที่กำลังตระเตรียม “ความมันส์ส์ส์” ในระดับสุดยอดให้กับใครต่อใครในอีกไม่นานนับจากนี้ นั่นก็คือการตระเตรียม “มหกรรมโอลิมปิก-2020” ณ กรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่น ที่แม้ว่ายังไงๆ...ก็คงต้อง “เอามันส์ส์ส์” ให้จงได้ แต่จากคำพูด คำจา คำให้สัมภาษณ์ล่าสุดของ ประธาน “โตเกียว-โอลิมปิก 2020” “นายSeiko Hashimoto” ช่วงวันศุกร์ที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมา ก็ชักจะเริ่มโน้มเอียงไปทางที่ไม่สามารถเปิดโอกาสให้มี “คนดู” เข้าไปในสนามกีฬาแต่ละแห่งได้เลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นกะจะให้เข้าไปได้ครึ่งสนาม หรือไม่เกินสนามละ 10,000 คน แต่เมื่อดันต้องเจอกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ หรือสายพันธุ์ “เดลต้า” ที่เริ่มแพร่ระบาดเข้าไปในญี่ปุ่นช่วงนี้ ความจำเป็นที่จะต้องลดระดับ “ความมันส์ส์ส์” ต้องยกการ์ด ตั้งการ์ด เอาไว้ก่อนล่วงหน้า หรือต้อง “ปลอดที่สุด...ด้วยการไม่ให้มีคนดู” ตามที่ผู้ว่าฯ กรุงโตเกียวว่าไว้ จึงกลายเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ แม้ว่าต้องกระเป๋าฉีก กระเป๋าแหก ต้องเสีย “สปอนเซอร์” ไปสักกี่รายต่อกี่รายก็ตาม ทำไงได้...ในเมื่อ “ความมันส์ส์ส์” กับ “ความตาย” มันกลายเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” ไปแล้ว!!!
https://ift.tt/3wia76y
กีฬา
Bagikan Berita Ini
0 Response to "กีฬา-กีฬา...ไม่ใช่ยาวิเศษสำหรับโควิด-19 - ผู้จัดการออนไลน์"
Post a Comment