โอลิมปิเกมส์บนแผ่นดินมังกร ในปี 2008 หรือ พ.ศ.2551 ไทยส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันมากถึง 51 คน จาก 13 สมาคมกีฬา หลังจากทำผลงานกระหึ่มเมื่อ 4 ปีก่อน ในการแข่งขันโอลิมปิก2004 ที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ที่คว้ามาได้ถึง 3 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน และอีก 4 เหรียญทองแดง ใน "ปักกิ่ง2008" ทัพไทยก็หวังจะสร้างผลงานให้กระฉ่อนอีกครั้ง ซึ่งในโอลิมปิกที่สาธารัฐประชาชนจีนนั้น นักกีฬาไทยมีจากหลายชนิดได้แก่ มวยสากล, ยกน้ำหนัก, ยิงปืน, เทควันโด และ ยิงเป้าบินและเมื่อสิ้นสุดการแข่งขันทัพไทยจบผลงานที่ 2 เหรียญทอง กับ 2 เหรียญเงิน แม้ว่าเป้าหมายจะพลาดไปบ้าง แต่นักกีฬาไทยก็ถือว่าทำผลงานได้น่าพอใจ มีเหรียญรางวัลกลับบ้าน และเป็นอีกหนึ่งโอลิมปิกที่ประทับใจแฟนกีฬาชาวไทย
ประภาวดี เจริญรัตนธารากุล (ยกน้ำหนัก)
วันที่ 10 ส.ค.2551 เป็นวันที่แฟนกีฬาไทยได้มีความสุขอีกครั้งในรอบ 4 ปี หลังค่ำคืนวันที่ 8 ส.ค.เจ้าภาพจีนโชว์ความอลังการให้โลกตะลึงในพิธีเปิดการแข่งขันโอลิมปิก2008 ในสนามรังนก อีกสองวันถัดมาแฟนกีฬาไทยก็ได้ฉลองร้องเพลงชาติกึกก้องกรุงปักกิ่ง
เมื่อเหรียญทองแรกของทัพนักกีฬาไทย "เก๋" ประภาวดี เจริญรัตนธารากุล จอมพลังสาวเมืองปากน้ำโพกระชากมาคล้องคอได้อย่างยิ่งใหญ่ "เก๋" เกิดเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 เป็นชาวจังหวัดนครสวรรค์ เป็นบุตรสาวของ นายจันทร์แก้ว กับ นางภาวลีย์ เจริญรัตนธารากูล โดยมีชื่อเดิมว่า จันทร์พิมพ์ กันทะเตียน ก่อนเปลี่ยนเพื่อความเป็นศิริมงคล
ต่อมาพลังสาวเมืองปากน้ำโพเข้าสู่การแข่งขันยกน้ำหนักตั้งแต่อายุ 11 ปี ติดทีมชาติครั้งแรกปี 2544 ในยกน้ำหนักชิงแชมป์เอเชีย ที่ประเทศจีน และในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 29 ที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน "เก๋" เป็นนักกีฬาคนแรกที่คว้าเหรียญทองจากยกน้ำหนักหญิงรุ่น 53 กก. นอกจากนี้ยังทำสถิติโอลิมปิกท่าคลีนแอนด์เจิร์ก ด้วยน้ำหนัก 126 กก.อีกด้วย
สมจิตร จงจอหอ (มวยสากลสมัครเล่น)
ยอดนักชกผู้ไม่เคยยอมแพ้ "สมจิตร จงจอหอ"เกิดวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2518 ที่ตำบลจอหอ อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา เป็นบุตรของ นายเช้า และนางฝ้าย จงจอหอ สมรสกับ นางศศิธร โดย สมจิตรต่อยมวยไทยมาก่อน ใช้ชื่อว่า "ศิลาชัย ว.ปรีชา" สำหรับมวยสากลสมัครเล่นได้รับเหรียญทองจากรายการต่างๆ มากมาย อาทิ เวิลด์แชมเปียนชิพ มวยทหารโลก และเอเชียนเกมส์
ในโอลิมปิกเกมส์ 2004 สมจิตร ถือเป็นตัวเต็ง แต่ไม่สมหวังทำให้เจ้าตัวถึงกับท้อแท้ และเกือบจะแขวนนวม แต่ก็สู้ต่อจนกระทั่งติดธงไปลุยศึกโอลิมปิกเกมส์ 2008 ที่กรุงปักกิ่ง และนักชกจากเมืองบุรีรัมย์ขณะนั้นในวัย 33 ปีวาดหวังไปให้ถึงดวงดาว ในรุ่นฟลายเวต 51 กก. "สมจิตร" ทะลวงเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศสำเร็จ โดยเผชิญหน้ากับ ลาฟฟิตา เฮอร์นานเดซ อันดริส จากคิวบาซึ่งนับเป็นด่านสุดหิน แต่กำปั้นไทยหาได้หวาดหวั่นพร้อมโชว์ฟอร์มเทพตะบันทำแต้มออกนำห่างไปถึง 6-0 เมื่อจบยกสอง และนำขาดลอย 8-1 ในยกต่อมา จากนั้นสั่งลาด้วยชั้นเชิงหลอกล่อได้สุดประทับใจเอาชนะไปสบาย 8-2 คว้าเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ สานฝันให้กับตัวเองสำเร็จหลังจากรอคอยมานานถึง 12 ปี
"สมจิตร จงจอหอ" เป็นชาวจังหวัดบุรีรัมย์ มีบิดาชื่อ นายเช้า และมารดาชื่อ นางฝ้าย จงจอหอ ซึ่งยอดกำปั้นจากต.โกรกแก้ว อ.โนนสุวรรณ ประสบการณ์บนเส้นทางสายเสื้อกล้ามโชกโชน ระเบียบวินัยเยี่ยม ความรับผิดขอบสูง จนถูกยกให้เป็น "กัปตัน" ของทีมเสื้อกล้ามไทย "ปักกิ่ง2008" ถือเป็นนักชกควาหวัง และนักสู้ผู้ไม่เคยยอมแพ้ก็สานฝันสูงสุดสำเร็จ ในวันที่ 23 ส.ค.2551 น้ำตาแห่งความสุขถูกปล่อยไหลออกมาพร้อมรอยยิ้มและประโยคเด็ด "ผมเจ็บมาเยอะ"
บุตรี เผือดผ่อง (เทควันโด)
เป็น "เหรียญเงิน" ประวัติศาสตร์ของเทควันโดไทย แต่กว่าจะไขว่คว้ามาได้ "สอง" บุตรี เผือดผ่อง ก็แทบจะทำให้แฟนกีฬาไทยช็อกหัวใจวายไปตามๆกัน
เกิดเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2533 เป็นชาวจังหวัดสมุทรปราการ และเป็น บุตรของ นายชวลิต เผือดผ่อง และนางสุวรรณา เผือดผ่อง เล่นกีฬาเทควันโดมาตั้งแต่อายุ 10 ขวบ สร้างชื่อเสียงให้กับตนเองไต่เต้ามาตั้งแต่ระดับเยาวชนจนเข้าตาโค้ช เช ยอง ชอก โค้ชเทควันโดทีมชาติไทยได้ดึงตัวเข้าสู่รั้วทีมชาติ ในซีเกมส์ครั้งที่ 24 ที่นครราชสีมา "สอง" บุตรี ได้เหรียญทอง ปักกิ่งเกมส์ 2008 จอมเตะสาวร่างเล็กจากปากน้ำสมุทรปราการ แต่ละด่านที่ฟันฝ่าต้องลุ้นระทึกทุกครั้ง ตั้งแต่รอบแรกจนถึงรอบชิงชนะเลิศนั้น ต้องดวล "ซัดเดนเดธ" บีบหัวใจยิ่งนัก รอบชิงชนะเลิศพบกับ หวู จิง หยู จอมเตะที่เก่งที่สุดในโลก นักกีฬาเจ้าภาพจีน ที่ฟอร์มสุดร้อนแรง ทว่าสาวไทยร่างเล็กสูงเพียง 159 ซม.เตี้ยที่สุดในเทควันโดโอลิมปิก2008 ไม่หวาดหวั่นป้องกันเข้าแลกได้สนุกตื่นเต้น ก่อนพ่ายไปนิดเดียว (-1) ต่อ 1 คะแนน
ทำให้ "บุตรี เผือดผ่อง" เป็นนักกีฬาเทควันโดไทยคนแรกที่คว้า "เหรียญเงิน" โอลิมปิกเกมส์
มนัส บุญจำนงค์ (มวยสากลสมัครเล่น)
แม้จะถูกมองว่าเป็น "แบดบอย" อย่างไรก็ตาม "เติ้ล" มนัส บุญจำนงค์ คือนักชกที่ครบเครื่องมีทั้งฝีมือ มันสมอง ฉลาดปราดเปรียวหาตัวจับยาก และถือเป็นนักชกคู่บุญของสมาคมกีฬามวยสากลแห่งประเทศไทยที่สร้างความสุข รอยยิ้ม มาให้แฟนกีฬาไทยอยู่ต่อเนื่อง
กำปั้นจากเมืองโอ่ง ราชบุรี เกิดเกิด 23 มิถุนายน 2523 เป็นชาว ต.พงสวาย อ.เมือง จ.ราชบุรี และบิดา/มารดา ชื่อนายมโน และนางมาลี บุญจำนงค์ และเป็นนักชกที่มากฝีมือประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในอาชีพชกมวย ทั้งเหรียญทองเอเชียนเกมส์, ซีเกมส์ และ เวิลด์คัพ
กระทั่งในปีเมื่อวันที่ 28 ส.ค.2547 ลูกศิษย์ของ "ฮวน ฟอนตาเนียล" ยอดโค้ชชาวคิวบา ประกาศศักดาในรอบชิงชนะเลิศ ด้วยการสอนเชิง จอห์นสัน เซเดโน่ ยูเดล นักชกคิวบา ชนะไปขาดกระจุยถึง 17-11 คะแนน กระชาก "เหรียญทอง" ในรุ่นไลท์เวลเตอร์เวทมาครอง กลายเป็นนักชกไทยคนที่ 3 ที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์
หลังจากนั้นแม้จะหลงผิดไปกับสิ่งยั่วยุและความสำเร็จ แต่ยอดนักชกเมืองราชบุรีได้ลั่นวาจาจะประสบความสำเร็จในโอลิมปิก2008 ที่กรุงปักกิ่งให้ได้ หลังจากกลับคืนแค้มป์ฟิตร่างกายจนสามารถติดธงไปแข่งขันอีกครั้ง และแม้ว่าสภาพร่างกาย ความฟิตสมบูรณ์จะไม่เหมือนเมื่อ 4 ปีก่อน ซึ่ง "ซูเปอร์เติ้ล" รู้ตัวดี แต่ก็มีสิ่งที่มาเติมส่วนที่ขาดนั้นคือ ประสบการณ์ ชั้นเชิงลีลา ความเจนจัดบนเวที รอบแรกได้บาย และรอบสองโชว์เหนือถล่ม มาซาซูกุ คาวาชิ จากญี่ปุ่นขาด 8-1 คะแนน ถึงรอบก่อนรองชนะเลิศจัดการโค่นเบอร์ 1 ของโลกอย่าง เซริก ซาพิเยฟ แชมป์โลก 2 สมัยชาวคาซัคสถาน 7-5 คะแนน ฟอร์มแจ่มจรัสกระชากทุกสายตาให้จับมาที่ "มนัส" และรอบรองชนะเลิศตอกย้ำความเป็นยอดฝีมือด้วยการเอาชนะ โรเนียล อิ๊กเลเซียส โซโตลอนโก จากคิวบา ถึง 10-5 คะแนน
อย่างไรก็ตามอาจเป็นเพราะสภาพร่างกายที่ไม่สดเหมือนก่อน อีกทั้งเจอของแข็งมาตลอดทำให้รอบชิงชนะเลิศที่พยายามสู้เต็มที่ แต่ก็พ่าย เฟลิกซ์ ดิแอซ จากโดมินิกันไป 4-12 คะแนน ทำให้ "มนัส บุญจำนงค์" คว้าเหรียญเงินมาครอง และกลายเป็นนักมวยและนักกีฬาไทยคนแรกสร้างประวัติศาสตร์คว้าเหรียญรางวัลในกีฬาโอลิมปิกได้สองสมัย
อ่านบทความและอื่น ๆ ( "มนัส บุญจำนงค์"โคตรมวยประวัติศาสตร์"บุตรี เผือดผ่อง"จิ๋วแต่แจ๋วจารึกเทควันโดไทย - สยามกีฬา )
https://ift.tt/2UHbdvx
กีฬา
Bagikan Berita Ini
0 Response to ""มนัส บุญจำนงค์"โคตรมวยประวัติศาสตร์"บุตรี เผือดผ่อง"จิ๋วแต่แจ๋วจารึกเทควันโดไทย - สยามกีฬา"
Post a Comment