Search

อนาคตในอีก 5-10 ปีข้างหน้าของลิเวอร์พูล - สยามกีฬา

อนาคตในอีก 5-10 ปีข้างหน้าของลิเวอร์พูล

คอลัมน์ที่แล้วในเรื่องการประท้วงของกลุ่ม Spirit of Shankly ผมเขียนถึงสิ่งที่ผมชอบในตัว FSG ว่าพวกเขากล้าที่จะยอมรับผิด กล่าวคำขอโทษและแก้ไขความผิดพลาดนั้นๆ

    ขณะเดียวกันก็เอาใจช่วยให้ไม่ทำพลาดในลักษณะเดิมอีก เพราะความรู้สึกระหว่างกันเปราะบางลง แฟนบอลบางกลุ่มก็เริ่มไม่ไว้ใจว่าในอนาคตจะมีโครงการอะไรที่ทำร้ายความรู้สึกออกมาอีกไหม ขณะที่ FSG เองอาจถอดใจจากความยุ่งยากคิดจะทำอะไรก็ติดขัดจนยอมแพ้แล้วกับวัฒนธรรมอันแตกต่างและความเป็นอนุรักษ์นิยมที่แข็งแกร่ง

    อันที่จริงแล้วถ้าบริหารสโมสรมาได้ถึง 11 ปี สร้างมูลค่าให้เพิ่มขึ้นมหาศาลได้อย่างนี้ พวกเขาก็ควรจะทำงานต่อไป มูลค่ามีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่กับสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้และความยากลำบากในการขยับขยายหารายได้อย่างที่เกิดขึ้น ถ้าหากมีกลุ่มทุนเงินหนาหรือมหาเศรษฐีใจกล้าพร้อมควักกระเป๋าซื้อ การปล่อยสโมสรในเวลานี้ก็อาจเป็นการทำกำไรที่งดงาม

อนาคตในอีก 5-10 ปีข้างหน้าของลิเวอร์พูล

    ในความรู้สึกของผมยังชอบและชื่นชมการทำงานของ FSG แม้จะไม่เห็นด้วยกับโครงการยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ลีก แต่ในภาพรวมแล้วพวกเขาคือเจ้าของสโมสรที่ดีมาก มีผลงานการพัฒนาให้เห็นทั้งในสนามและนอกสนาม

    แน่นอนครับ คงไม่มีใครตัดสินใจได้ถูกทุกเรื่องหรอก นโยบายต่างๆ ของ FSG ก็เช่นกัน แต่เท่าที่ได้เห็นพวกเขาก็ไม่เคยดันทุรังเดินหน้าทำนโยบายที่มีเสียงต่อต้านจากแฟนบอลเลย

    นโยบายที่ถูกจุดก็ลุยเต็มที่ นโยบายผิดที่ผิดทางหรือผิดเวลา ก็ปรับปรุงแก้ไขหรือยกเลิกไปก่อน การทำงานที่ดีก็ควรเป็นอย่างนี้ซึ่ง FSG ก็ทำให้เห็นมาตลอดว่าพวกเขาพร้อมรับฟังเสียงจากแฟนบอล และพวกเขาไม่ใช่เทวดาที่จะทำทุกอย่างได้ถูกต้องทั้งหมด

    การขอโทษและแก้ไขทันทีในทุกเรื่องที่เดินเกมผิดพลาดน่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนในระดับหนึ่งว่าพวกเขา "ได้ยิน" เดอะค็อปไหม

    หากแฟนบอลเองก็เป็นคนหมู่มาก ย่อมมีความรู้สึกหลากหลาย มีทั้งคนที่ชอบ FSG คนที่เฉยๆ กับพวกเขา และคนที่ไม่เอาเลย

    ก็คนมันจะไม่ชอบเสียอย่าง อะไรก็เลวไปหมด กระทั่งคนที่ไม่ให้เครดิตใดๆ กับ FSG เลยก็มี เช่นมองว่าที่เข้ามาเพราะเห็นโอกาสซื้อได้ถูกต่างหากไม่ได้ตั้งใจพัฒนาจริงจังหรอก (แต่ถึงวันนี้ 11 ปีแล้วก็ไม่ยอมขายทิ้งทำกำไรสักที ตรงกันข้ามยังลงทุนในส่วนอื่นๆ ของสโมสรอีกมากและตัวเลขการเติบโตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แทบทุกด้าน และอีกประการ.. เขาก็เป็นนักธุรกิจ ทำธุรกิจไม่ใช่เอาเงินมาผลาญเล่น) บอกว่าลิเวอร์พูลฟุตบอลคลับก้าวหน้ามาจนมีมูลค่า 2,958 ล้านปอนด์ในวันนี้ได้เพราะ เจอร์เก้น คล็อปป์ ต่างหาก หรือพูดอีกอย่าง FSG นั่นแหละเกาะคล็อปป์กิน

    ก็คนมันจะไม่ชอบเสียอย่าง..

อนาคตในอีก 5-10 ปีข้างหน้าของลิเวอร์พูล

    ความจริงแล้วทั้ง FSG และ คล็อปป์ เอื้อต่อกัน ต่างฝ่ายต่างส่งเสริมซึ่งกันและกันและต่างก็ช่วยสร้างมูลค่าให้สโมสรลิเวอร์พูลด้วยกันทั้งนั้น FSG โชคดีที่ได้คล็อปป์นั่นถูกต้องเลย มันแน่นอนอยู่แล้ว บุคลิกของเขา ความเก่งของเขา ทัศนคติของเขา และความสำเร็จที่จับต้องได้ของเขาคือโบนัสมหาศาลยิ่งกว่าถูกล็อตเตอรี่รางวัลแจ๊กพ็อต ส่วนคล็อปป์เองจะโชคดีที่ร่วมงานกับ FSG ไหมนั้นก็อาจจะมีทั้งโชคดีปนโชคไม่ดีผสมกันไป ตัวเขาเองก็ได้ยกระดับโปรไฟล์ขึ้นมาอีกมากถ้าเทียบกับครั้งคุมโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์

    มันก็ไม่ใช่ว่าคล็อปป์โชคดีชัวร์ๆ หรือโชคร้ายแน่ๆ แต่ที่เชื่อได้ที่สุดก็คือตัวเขาเองแสดงการยืนหยัดเคียงข้างเจ้าของสโมสรอยู่เสมอ บ่อยครั้งเป็นกันชนให้อีกต่างหาก กรณีซูเปอร์ลีกเขาไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่โจมตี FSG ออกสื่อ มันคือเรื่องที่ควรพูดคุยกันภายใน รับฟังเหตุผลและคำอธิบายจากเจ้าของสโมสรก่อน ที่สำคัญคือเมื่อสถานการณ์ทำท่าจะยืดเยื้อจากการไม่ยอมของกลุ่ม Spirit of Shankly เขาก็เป็นคนออกโรงขอให้แฟนบอลให้อภัยและเดินหน้าไปด้วยกัน

    เพราะเราไม่ได้ทำงานคนเดียวหรือตัดสินใจคนเดียว สโมสรฟุตบอลนั้นทำงานกันเป็นทีม

    หลายครั้งที่บทสัมภาษณ์ของคล็อปป์นั้นชัดเจน เขาไม่ใช่เด็กร้องงอแงจะเอาของเล่น เขาเข้าใจในธรรมชาติของการทำงาน มีบอร์ดบริหารกำหนดทิศทางของสโมสร มีโครงสร้างผู้อำนวยการกีฬาช่วยแบ่งเบางาน ไม่ใช่ว่าเขาอยากได้อะไรต้องได้ไม่อย่างนั้นไม่ยอม อย่าลืมว่าหากเขาสามารถเอาแต่ใจได้ถ้าคนอื่นในสโมสรจะทำอย่างนั้นบ้างส่วนรวมจะไปรอดได้ยังไง

    การบริหารสโมสรฟุตบอลก็เหมือนการทำทีมฟุตบอลนั่นแหละ คล็อปป์ สตาฟฟ์โค้ชของเขา เจ้าหน้าที่ของเขา และลูกทีมของเขา คือ "ทีม" เดียวกัน แต่ในภาพที่ใหญ่ขึ้น ฝ่ายบริหาร ฝ่ายการตลาด ฝ่ายการเงิน ฝ่ายฟุตบอล และฝ่ายอื่นๆ ในสโมสร ก็ต้องเป็น "ทีม" เดียวกันเช่นกัน

    เราแฟนบอลก็มักจะมองในมุมของ "ฝ่ายฟุตบอล" หรือทีมฟุตบอลที่ลงไปเล่นในสนาม ไม่ใช่เรื่องผิดก็เพราะเราเองก็อยู่ในฝ่ายฟุตบอลเช่นกัน แต่สโมสรลิเวอร์พูลฟุตบอลคลับมีฝ่ายอื่นๆ นอกเหนือจากฝ่ายฟุตบอลอีกมาก ภารกิจหลักคือเรื่องฟุตบอลนั่นแหละ แต่เราจะไม่สนใจฝ่ายอื่นเลยก็คงไม่ได้

    เหมือนฝ่ายขายทำกำไรและหาเงินเข้าบริษัท แต่ก็ต้องคุยกับฝ่ายการตลาด ฝ่ายผลิต ฝ่ายปฏิบัติการ ฝ่ายซ่อมบำรุงด้วยว่าทำได้ไหม ติดขัดอย่างไรไหม มีอุปสรรคอะไรหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าจะเดินหน้าลุยขายงานทำเงินอย่างเดียว ฝ่ายอื่นๆ เองก็ต้องเข้าใจและสนับสนุนการทำงานของฝ่ายขายด้วยเช่นกันเพราะถ้าไม่มีฝ่ายขาย บริษัทก็อยู่ลำบาก

อนาคตในอีก 5-10 ปีข้างหน้าของลิเวอร์พูล

    นี่ก็คือการทำงานเป็นทีม

    ข้อกล่าวหาเรื่อง FSG ขี้งกไม่อนุมัติเงินให้คล็อปป์เอาแต่กอบโกยผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเองจนอ้วนเป็นเพราะเรามองในฝั่งคนรักคล็อปป์ แต่คล็อปป์แสดงออกถึงความเข้าใจในข้อจำกัดของฝ่ายบริหารมาตลอด อีกทั้งตัวเขาเองก็มีธรรมชาติอย่างนั้นคือสร้างนักเตะเป็นสตาร์เองมากกว่าซื้อสตาร์สำเร็จรูป

    และเอาเข้าจริงกับนักเตะในตำแหน่งที่เป็นจุดอ่อนที่คล็อปป์ยืนยันว่าต้องการอย่างที่สุด FSG ก็ไม่เคยลังเลที่จะอนุมัติให้.. เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ กับ อลีสซง เบ็คเกอร์ คือตัวอย่างชัดเจน ทีมอย่างลิเวอร์พูลกับการซื้อนักเตะเป็นสถิติโลกในตำแหน่งนั้นๆ มาเกิดขึ้นก็ในยุคนี้นี่แหละ

    ผมเข้าใจดีว่าสำหรับคนที่รักคล็อปป์เข้าสายเลือดและอยากเห็นเขามีนักเตะเวิลด์คลาสให้ใช้งานแบบสบายมืออาจจะไม่ชอบหรือถึงขั้นเกลียด FSG

    จะอย่างไรก็ไม่เคยชอบและไม่ให้เครดิต ด้วยมองว่านักธุรกิจก็สันดานเดียวกันหมดเข้ามากอบโกยผลประโยชน์จากสโมสรทั้งนั้น หน้าเงิน ขี้งก ไม่สนับสนุน ทำงานข้ามหัว ไม่ให้เกียรติกัน สารพันความไม่ชอบที่พร้อมยัดเยียดให้ แต่อาจจะลืมมองไปว่าการบริหารทีมฟุตบอลก็ไม่ใช่การกุศลเหมือนกันและถ้าไม่ใช่นักธุรกิจหรือกลุ่มทุนเป็นเจ้าของสโมสร จะให้ใครเข้ามาเป็น

    ฟุตบอลไม่สามารถทำงานได้ด้วยความต้องการของผู้จัดการทีมเพียงคนเดียว มันเป็นเรื่องของ "ทีม" และนโยบายของ "ทีม" ซึ่งหมายถึงทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับสโมสรไม่เฉพาะแค่ฝ่ายฟุตบอล

อนาคตในอีก 5-10 ปีข้างหน้าของลิเวอร์พูล

    ทุกองค์กรต้องมีนโยบายขององค์กร คล้ายแผนพัฒนา 5 ปี 10 ปี 20 ปี การทำงานของลิเวอร์พูลยุค FSG ดูจะเป็นไปเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

    สโมสรต้องอยู่ได้อย่างมั่นคงในระยะยาว และการจะอยู่ได้อย่างมั่นคงในระยะยาวคุณจำเป็นต้องรอบคอบเรื่องการรักษาสมดุลทางการเงิน ไม่ใช้จ่ายเกินตัว สร้างบุคลากรขึ้นมาเองหรืออาศัยโครงข่ายแมวมองและทีมวิเคราะห์ที่เก่งกาจเสาะหานักฟุตบอลฝีเท้าดีมาร่วมทีม

    ไม่ต้องทุ่มบ้าเลือดซื้อนักเตะดังๆ จนสโมสรแบกภาระเกินไป เผชิญหน้ากับอุปสรรคด้วยสมองและสติ ไม่ใช่ความร้อนรนหรืออารมณ์ที่อ่อนแอ

    ลิเวอร์พูลวางนโยบายเอาไว้อย่างนั้น เราสามารถเห็นได้จากแนวทางและการแสดงความคิดเห็นต่างๆ ที่ออกมา เราจึงได้เห็นศูนย์ฝึกใหม่ที่จะเป็นรากฐานสำคัญไปสู่อนาคต เราจึงได้เห็นการเดินหน้าต่อเติมอัฒจันทร์ เราจึงได้เห็นการเจรจาอันเหนือชั้นของไมเคิ่ล เอ๊ดเวิร์ดส์ เราจึงได้เห็นการซื้อนักเตะแบบเน้นๆ ในคุณภาพ ไม่ใช่ชื่อเสียง

    ไม่ใช่ว่าลิเวอร์พูลไม่สนใจนักเตะเก่งๆ ดังๆ ระดับโลกแบบที่ชงน้ำร้อนกินได้เลย แต่ถ้าต้องเสียค่าใช้จ่ายมหาศาลแลกมาโดยคำนวนแล้วว่าอาจมีความเสี่ยงต่อความมั่นคงของสโมสร พวกเขาเลือกที่จะไม่ทำ

    นักเตะเก่งๆ ใครก็อยากได้ นโยบายของบางสโมสรอาจซื้อทุกคนที่ขวางหน้า แต่มันแค่ไม่ใช่นโยบายของลิเวอร์พูลก็เท่านั้น

    ถ้าคำนวนแล้วคุ้มค่า.. ก็เอาเลย แพงระยับแต่สามารถอุดรูรั่วที่เป็นจุดอ่อนของทีมได้ก็ไฟเขียวให้ ลุยเลย ส่วนที่แพงเป็นบ้าและทีมยังไม่ได้ต้องการคนในตำแหน่งนั้นอย่างที่สุดจริงๆ ก็ลองมองหาตัวเลือกอื่นก่อนไหม หรือกระทั่งในปัจจัยอื่นที่เข้ามามีผลมากกว่า ณ เวลานั้นๆ อย่างเช่นความฝืดเคืองในยุคโควิด ผลงานในสนามอาจจำเป็นต้องมาทีหลังความอยู่รอดรัดเข็มขัด

อนาคตในอีก 5-10 ปีข้างหน้าของลิเวอร์พูล

    เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย สิบเอ็ดปีที่ผ่านมา FSG ก็ปลดหนี้ให้สโมสรและนำพา ลิเวอร์พูลฟุตบอลคลับ เติบโตจากทีมที่ใกล้ล้มละลายเต็มทีมาเป็นสโมสรที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 5 ของโลก มีอัตราการเติบโตในรอบ 2 ปีที่ผ่านมามากที่สุดถึง 88 เปอร์เซนต์ มีภาระหนี้สินเพียง 2 เปอร์เซนต์ เปลี่ยนจากทีมชวนยี้ใครก็ไม่อยากมาร่วมงานกลายเป็นแม่เหล็กใหญ่พร้อมดึงดูดคนเก่งๆ เข้าสู่แอนฟิลด์

    แน่นอนครับ ส่วนสำคัญต้องยกเครดิตให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ด้วย แต่ถ้ายกมันทั้งหมดว่าเป็นเพราะคล็อปป์เท่านั้น FSG ไม่เกี่ยวเลย ต่อเติมอัฒจันทร์เพราะคล็อปป์ ปรับภูมิทัศน์รอบแอนฟิลด์เพราะคล็อปป์ ขยายตลาดเพราะคล็อปป์ เจรจาสัญญาต่างๆ เพราะคล็อปป์ หรือเรื่องอะไรร้อยแปดมีที่มาจากคล็อปป์ล้วนๆ คนเดียวทั้งหมด ผมคิดว่าแม้ตัวของคล็อปป์เองก็คงเขินที่จะรับมันไว้

    ในการทำงานระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายจัดการทีมฟุตบอล การให้อิสระไม่ก้าวก่ายและมอบการสนับสนุนที่สมควรคือสิ่งจำเป็น เรื่องนี้เหมือนง่ายแต่ไม่ง่ายเพราะคำว่าอิสระ ไม่ก้าวก่าย และมอบการสนับสนุนที่สมควร นี่แหละที่เส้นแบ่งของแต่ละคนไม่เท่ากัน

    ทั้ง 2 ฝ่ายต้องสร้างสมดุลให้ดี ฝ่ายบริหารจะเข้มงวดเกินไปก็ไม่ดี ฝ่ายจัดการทีมจะเอาแต่ใจเกินไปก็ไม่เหมาะ มันต้องทำงานควบคู่กันไป ลองนึกภาพตามว่าเป็นงานในบริษัทก็ได้ เจ้านายที่เข้มงวดเกินไปก็อาจเกิดความเครียดในการทำงาน แต่ใจดีเกินไปงานก็อาจหละหลวมย่อหย่อน ลูกน้องเองถ้าทำอะไรตามใจเพราะถือว่าอิสระเป็นของตัวก็อาจกลายเป็นกระทบฝ่ายอื่น หรือมีอะไรติดขัดก็พร่ำบ่นบริษัทตัวเองผ่านโลกโซเชียลก็รังแต่จะเกิดความวุ่นวาย

    อย่าลืมว่านอกจากแผนกตัวเองแล้ว บริษัทก็ยังต้องดูแลแผนกอื่นๆ ด้วย ทุกแผนกสำคัญทั้งนั้น

    การมองทุกอย่างหมุนรอบตัวเราจึงแตกต่างจากการมองว่าตัวเรากำลังหมุนรอบส่วนรวม เราเป็นส่วนหนึ่งของมัน ไม่ใช่เป็นศูนย์กลางของมัน

    มีปัญหา.. คุยกัน มีข้อเสนอ.. คุยกัน มีเรื่องอัดอั้นตันใจ.. ก็คุยกัน ที่ผ่านมา FSG ก็เป็นเจ้านายที่ให้อิสระในการทำงานกับคล็อปป์และทีมงานเต็มที่ ไม่เคยมีข่าวก้าวก่ายกันหรือมีใครที่เป็นตัวแทนฝ่ายบริหารที่ทรงอำนาจมากในทีมจนคล็อปป์ต้องอึดอัด พวกเขาก็ยังทำงานร่วมกันได้ดี ทีมเวิร์กที่มีกับ ไมเคิ่ล เอ๊ดเวิร์ดส์ ก็อยู่ในระดับราบรื่นที่สุด

อนาคตในอีก 5-10 ปีข้างหน้าของลิเวอร์พูล

    สิบเอ็ดปีที่ผ่านมาถ้าใครจะไม่ให้เครดิต FSG เลยก็คงต้องเป็นไปตามนั้น แต่ในขณะเดียวกันอย่าลืมว่าแฟนบอลที่ขอบคุณและชอบการทำงานของ FSG ก็มี

    ผมเข้าใจความแตกต่างทางความคิด แค่อยากเห็นการแสดงความแตกต่างนั้นออกมาอย่างสร้างสรรค์ เพราะเราสามารถถกเหตุผลกันได้ดีๆ ด้วยคำพูดที่ไม่ทิ่มแทงกันหรือดูถูกหรือด่าทอคนที่เห็นไม่เหมือนกัน

    ถ้าต่างฝ่ายต่างเข้าใจในพื้นฐานของความไม่เหมือนกัน โลกเราไม่ได้มีแค่ ขาว กับ ดำ แต่ยังมี เทา ไม่ได้มีแค่ ซ้าย กับ ขวา แต่ยังมี กลาง ไม่ได้มีแค่ 0 กับ 10 แต่ยังมี 4 มี 5 มี 6

    เราก็จะเข้าใจและให้เกียรติคนอื่นๆ มากขึ้น รวมทั้งเข้าใจและให้เกียรติทีมอื่นๆ มากขึ้นด้วยเช่นกัน

    ฟีฟ่า ยูฟ่า เอฟเอ ผู้ตัดสิน แมนฯ ยูไนเต็ด เอฟเวอร์ตัน เชลซี FSG แฟนบอล ฯลฯ ไม่มีใครขาวกระจ่างหรือดำสนิท ทุกคนล้วนผิดพลาดได้ด้วยกันทั้งนั้น

อนาคตในอีก 5-10 ปีข้างหน้าของลิเวอร์พูล

    แน่นอน ลิเวอร์พูลเองก็เช่นกัน ไม่ได้วิเศษวิโสอยู่เหนือคนอื่น ไม่ใช่ผู้ไร้มลทินที่ไม่เคยทำผิด

    ผมเอาใจช่วยและเฝ้ารอดู อยากรู้ว่า FSG คิดและรู้สึกอย่างไรกับสถานการณ์ที่พวกเขาเจอในครั้งนี้ เพราะมุมมองและวัฒนธรรมมันแตกต่างกันมากจริงๆ

    ตรงนี้ต่างหากครับที่น่าคิดเพราะมันหมายถึงอนาคตในอีก 5-10 ปีข้างหน้าของลิเวอร์พูล บางทีช่วงนี้อาจเป็นหมุดหมายสำคัญอีกช่วงหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสรก็ได้

ตังกุย

อีกหนึ่งช่องทางในการติดตามข่าวสาร
Add friend ที่ @Siamsport
เพิ่มเพื่อน

Let's block ads! (Why?)

อ่านบทความและอื่น ๆ ( อนาคตในอีก 5-10 ปีข้างหน้าของลิเวอร์พูล - สยามกีฬา )
https://ift.tt/32LbcYa
กีฬา

Bagikan Berita Ini

0 Response to "อนาคตในอีก 5-10 ปีข้างหน้าของลิเวอร์พูล - สยามกีฬา"

Post a Comment

Powered by Blogger.